ทั่วไป

ภาวะความดันโลหิตต่ำ หมายถึงค่าความดันโลหิตต่ำกว่า 90/50 มิลลิเมตรปรอท คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความสำคัญมากสักเท่าไหร่ แต่หากให้ความดันโลหิตต่ำมากๆอาจส่งผลเสียต่อร่างกาย เพราะเลือดจะไหลเวียนได้ช้าลงจึงไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้ไม่เพียงพอ เกิดลิ่มเลือดได้ง่าย และทำให้เลือดอุดตัน หลอดเลือดฝอยส่วนปลายขาดเลือดไปเลี้ยง เรามาดูกันว่าความดันโลหิตต่ำนั้นเกิดจากอะไรบ้าง เกิดจากการเปลี่ยนอิริยาบถ เช่น นอนๆอยู่แล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็วทันที ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ส่งผลให้สมองทำงานผิดปกติจนเกิดอาการเวียนศีรษะ ตาพร่า ใจสั่น เป็นต้น เกิดจากการใช้ยา หรืออาการเจ็บป่วยของร่างกาย เช่น การใช้ยาลดความความดันโลหิตมากเกินไป ยากล่อมประสาท ยาต้านโรคซึมเศร้า อาการป่วยจากร่างกาย เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานได้น้อยกว่าปกติ โรคมะเร็ง โรคตับอักเสบ ขาดสารอาหารเรื้อรัง เป็นต้น เป็นโดยกำเนิด หรือพันธุกรรม เช่น มีรูปร่างที่ผอมบาง มีอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงอยู่บ่อยๆ ใจสั่ง ปวดศรีษะ เวียนหัว หรืออาจถึงขั้นเป็นลมไปเลย ความดันโลหิตจากพันธุกรรมมักจะแสดงอาการออกมาชัดเจนในช่วงอากาศร้อนหรืออยู่ในที่อุณหภูมิสูง เมื่อรู้แบบนี้แล้วก็มั่นตรวจเช็คความดันกันบ่อยๆนะคะ อย่าลืมทานอาหารที่มีประโยชน์ ผัก ผลไม้ และดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการร่างกาย ไม่นอนดึกพักผ่อนให้เพียงพอ ด้วยความห่วงใยจาก แบแป๊ะเลี้ยง ————— สั่งซื้อสินค้า สอบถามเพิ่มเติม 02 224 2258 m.me/baepaeliang ————— [ เวชภัณฑ์สมุนไพรจีน แบ-แป๊ะ-เลี้ยง ช่วยบำรุงสุขภาพ ปรับสมดุลภายในร่างกาย โดยไม่มีผลข้างเคียงอันตราย สามารถทานควบคู่กับยาสามัญแผนปัจจุบันได้ โดยเว้นช่วงเวลาทานก่อน หรือหลัง 2 ชม เพื่อผลลัพธ์การบำรุงรักษาสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น ] แบแป๊ะเลี้ยง สมุนไพรจีน ยาแผนโบราณ

ภาวะ “หยุดหายใจ” ขณะนอนหลับ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ตัว เพราะไม่ได้สามารถสังเกตถึงความผิดปกติของตัวเองในขณะหลับ ต้องอาศัยผู้ที่อยู่ใกล้ชิดช่วยสังเกตอาการ เรามาเช็คกันหน่อยดีกว่าค่ะ เรามีอาการหล่าวนี้บ้างไหม นอนกรน เหงื่อออกตอนกลางคืน นอนหลับไม่สนิท นอนกระสับกระส่ายมาก สะดุ้งตื่นกลางดึก เพราะสำลักเหมือนขาดอากาศหายใจ คอแห้ง หรือเจ็บคอเมื่อตื่นนอน ปวดศรีษะหลังตื่นนอนตอนเช้า หลงลืมบ่อยๆ หงุดหงิดง่ายกว่าปกติ ง่วงนอน หรือรู้สึกว่าเหนื่อยอ่อนเพลียมากๆในเวลากลางวัน ถ้ามีเกิน 4 ข้อ แอดมินแนะนำว่าให้รีบไปปรึกษาแพทย์เลยนะคะเพื่อเข้าตรวจด้วยเครื่องมือเฉพาะทาง ด้วยความห่วงใยจาก แบแป๊ะเลี้ยง

สิ่งแรกที่ทำเมื่อลืมตาตื่นนอนคือ “ดูมือถือ” ชัดเลย เข้าข่ายการเป็น “โรคติดมือถือ” คุณและใครอีกหลายคนคงจะมองว่ามือถือคืออัวยวะที่ 33 ของร่างกายไปแล้วเพราะขาดไม่ได้ โรคติดมือถือ หรือ nomophobia เป็นโรคที่มากับคนยุคนี้ เรามาสังเกตดูกันว่าเราเป็นโรคนี้อยู่หรือเปล่า 1. กังวลมากเมื่อมือถือไม่อยู่ใกล้ๆตัว 2. กังวลและเครียดมาก เมื่อแบตเตอรี่มือถือหมด 3. เมื่อมีข้อความไลน์เข้ามา หรือสัญญาณเตือนจากเซบุ๊ก ต้องรีบกดอ่าน หรือหยุดทำทุกอย่างเพื่อหยิบขึ้นมาดูและตอบ 4. ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มี Wifi จะวิตกกังวล จิตตก เครียด หงุดหงิด 5. ทุกเช้าเมื่อตื่นนอน สิ่งแลกที่ทำคือ หยิบมือถือ มาเปิดดูข้อความ และเฟซบุ๊ก ถ้ามีครบทุกข้ออาการน่าเป็นห่วงนะคะ ยังไงก็ปล่อยให้ตัวเองว่างจากมือถือและสนใจคนข้างๆบ้างนะคะ แต่️ กรณีของคนที่ใช้เพื่อติอต่องาน สั่งงาน คุยงาน เพราะยุคนี้ส่วนใหญ่จะสั่งงานกันผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ ถือว่าไม่เป็นโรคติดมือถือนะคะ เพราะถ้าห่างจากการทำงานแล้ววางมือถือลงได้ และทำกิจกรรมทั่วๆไปโดยไม่สนใจมือถือตามข้อที่กล่าวมาก็ไม่ได้เป็นโรคติดมือถือ ด้วยความห่วงใยจาก แบแป๊ะเลี้ยง

เครื่องดื่มที่ฮิตดื่มกันทั่วทุกมุมโลกเลยก็ว่าได้ บางอย่างก็มีโทษมหาศาลแต่เราก็ยังหยุดกินไม่ได้ โดยเฉพาะน้ำอัดลม ที่โฆษณากันว่าดื่มแล้วสดชื่น ชีวิตมีความสุข แอดมินว่าก็จริงนะคะตอนดื่มเข้าไปเวลาอากาศร้อนๆเนี่ย สดชื่นเลยค่ะ แต่ถ้าเราดื่มบ่อย ๆ ทุกวัน วันละหลายๆกระป๋อง หรือหลายขวด แน่นอนค่ะปัญหาสุขภาพตามมาแน่นอน ดังนั้นแอดมินแนะนำว่าดื่มกันแต่พอดี เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีของเรานะคะ ด้วยความเป็นห่วง จาก แบแป๊ะเลี้ยง

โรคเครียด โรคท็อปฮิตตลอดกาลของคนบนโรคใบนี้ คงไม่มีโรคใดโค่นแชมป์ได้ ด้วยจุดเด่นของโรคนี้คือ เป็นง่าย เป็นได้ทุกเวลา ไม่ต้องอาศัยเชื้อโรคตัวใดๆ หายแล้วก็เป็นอีกได้ เป็นซ้ำๆ ซากๆ จะหายก็ต่อเมื่อจะหายเครียดไปเอง แอดมินแบ่งความเครียดเป็น 2 ลักษณะดังนี้ 1. เครียดเพื่อเตรียมพร้อมสู้ หรือหนีภัยสภาวะฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้ แผ่นดินไหว หมาวิ่งไล่งับ หากเรามีภาวะดังนี้สมองจะสั่งการให้เรา วิ่งสุดชีวิตวิ่งได้เร็วมาก แบกตู้เย็น แบกโอ่ง ยังทำได้เลย ทั้งหมดไม่ใช่ปฏิหาริย์นะคะ แต่เป็นเพราะน้ำตาลและฮอร์โมนที่หลั่งออกมาแล้วเราได้ใช้งานจนหมดเกลี้ยงจนไม่เหลือเลยก็ว่าได้ ถึงขั้นหอบแฮกลิ้นห้อยกันเลย 2. เครียด อารมณ์เสียควันออกหู เช่น โมโหเจ้านาย รถติดวินาศสันตะโร ทะเลาะกับแฟน เครียดปัญหาทางด้านการเงิน เครียดในลักษณะนี้ระวัง “อ้วน” เพราะเราจะนั่งคิดนอนคิดตลอดเวลาถึงเรื่องที่เครียด แล้วก็จะกินแล้วนอน โดยที่ร่างกายจะไม่ได้เผาผลาญพลังงาน เช่นเดียวกันเลยเมื่อเราเครียดร่างกายจะสั่งให้น้ำตาลออกมาเตรียมรับภาวะฉุกเฉินแต่คราวนี้เรากลับไม่ได้เอาน้ำตาลเหล่านี้มาใช้ ก็ได้แต่ลอยเท้งเต้งในกระแสเลือด เดือดร้อนไปถึงตับอ่อนที่ต้องหลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมากวาดน้ำตาลเพื่อไม่ให้เลือดกลายเป็นน้ำเชื่อม และไปขัดขวางการดูดซับออกซิเจนของเม็ดเลือดแดง ลองคิดดูซิคะถ้าเราเครียดบ่อยๆ จะกระตุ้นให้น้ำตาลออกมามากขนาดไหน แล้วแบบนี้เราจะไม่อ้วนได้ยังไงจริงไหมคะ เห็นไหมคะว่าความเครียดน่ากลัวขนาดไหน และไม่ส่งผลดีอะไรต่อร่างกายเราเลย งั้นเรามาหยุดความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ ที่แอดมินได้เอามาแนะนำตามภาพด้านล่างนี้กันดีกว่าค่ะ ด้วยความเป็นห่วง จาก แบแป๊ะเลี้ยง

10 ข้อคิด ใช้ชีวิตให้มีคุณค่า หลายๆท่านต้องเจอกับความกังวลมากมายในชีวิต มีเรื่องกระทบจิตใจเราได้ตลอดเวลา แล้วแบบนี้เราจะทำยังเพื่อให้เราไม่เครียด และดำรงชีวิตในทุกวันได้อย่างมีความสุข และสุขภาพแข็งแรง ถ้าใจเราเป็นสุขเชื่อเถอะค่ะว่าสุขภาพของเราก็จะดีไปด้วย วันนี้แอดมินมี “10 ข้อคิด ใช้ชีวิตให้มีคุณค่า” มาฝากพี่ๆน้องๆ แฟนเพจ แบแป๊ะเลี้ยง กันค่ะ

คุณเป็นโรคแบบ หยิน หรือ หยาง กันแน่? ︎ เราสามารถสังเกตอาการได้ดังนี้ ️ โรคหยิง การแสดงอาการ หน้าซีด ไม่มีแรง ไม่รู้สึกหิวน้ำ แขนขาเย็น หนาว หายใจเบาชีพจรเต้นช้า ปัสสาวะมากสีใส ️ โรคหยาง การแสดงอาการ หน้าแดง ตาแดง หายใจแรง ตัวร้อน หงุดหงิด กระวนกระวาย เจ็บคอ คอแห้ง ชีพจรเต้นเร้ว ปัสสาวะเหลืองเข้ม รู้แบบนี้แล้ว อย่าลืมเช็คตัวเอง และดูแลตัวเองด้วยนะคะ ด้วยความห่วงใยจาก แบแป๊ะเลี้ยง

กินอาหารแบบ ︎ หยิง หยาง “เพื่อสมดุลของร่างกาย” ️ หยิง “อาหารฤทธิ์เย็น” อาหารที่มีรสชาติ เค็ม จม เปรี้ยว อาหารที่ผ่านการปรุงด้วยกรรมวิธี ตุ๋น ต้ม นึ่ง ผักผลไม้ เช่น แตงโม มะพร้าว ถั่วเหลือง อ้อย สาลี่ ข้าวโพด แตงกวา บวบ เป็นต้น เนื้อสัตว์ เช่น ปู เป็ด ห่าน หอยนางรม ️หยาง “อาหารฤทธิ์ร้อน” อาหารที่มีรสชาติ เผ็ด หวาน อาหารที่ผ่านการปรุงด้วยกรรมวิธี ทอด ย่าง รมควัน ผักผลไม้ เช่น เงาะ ทุเรียน ลำไย น้อยหน่า ขิง กระเทียม พริก มะเขือยาว งาดำ หัวหอม เป็นต้น เนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว ไก่ ด้วยความห่วงใยจาก แบแป๊ะเลี้ยง

กระดูกพรุนใน “วัยทอง” พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และพบมากในวัยที่หมดประจำเดือนนาน 15 – 20 ปี .. กระดูกหักจากภาวะกระดูกพรุน มักเกิดที่ กระดูกข้อมือ กระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง การขาดฮอร์โมนเอสโทรเจน ทำให้เซลล์ที่ทำหน้าที่ สลายกระดูกมีมากขึ้น ขณะที่การสร้าง กระดูกโดยเซลล์สร้างกระดูกไม่เพียงพอ .. แคลเซียมเป็นธาตุสำคัญในการสร้างมวลกระดูก เราควรจะได้รับแคลเซียมให้เพียงพอ และเหมาะสมตั้งแต่ยังเด็ก มีมวลกระดูกมากกว่าโอกาสเป็นภาวะ กระดูกพรุนย่อมน้อยกว่า

คุณผู้ชาย “อ่านทางนี้” อาการวัยทองในผู้ชาย ฮอร์โมนเพศชายจะค่อย ๆ เริ่มลดระดับลง ในช่วงอายุ 45 – 50 ปี แต่บางท่านอาจจะไม่แสดงอาการขาดฮอร์โมน จนหลังอายุ 70 ปี ไปแล้วจึงค่อยมีอาการ .. อาการก็จะคล้ายคลึงกับวัยทองในผู้หญิง . . แบ่งเป็นหมวดๆ ตามนี้ อาการทางกาย > อ่อนเพลีย ไม่ค่อยกระตือรือร้น ปวดเมื่อยเนื้อตัว นอนเยอะ และ นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร อาการทางอารมณ์ > เครียดง่าย อารมณ์เสียบ่อยๆ บางท่านมีการซึมเศร้า อาการทางเพศ > ปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ อาการทางสุขภาพ > อ้วน กระดูกพรุน หลังโกง และอาจจะพบโรคหัวใจ .. วัยทองเป็นสิ่งที่เราหลีกเหลี่ยงไม่ได้เมื่อถึงวัย แต่เราก็สามารถดูแลและป้องกันอาการเหล่านี้ได้ เริ่มดูแลสุขภาพตัวเองตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีในวันข้างหน้า ด้วยความห่วงใยจาก แบแป๊ะเลี้ยง