ผื่นแดงแสบ ๆ คัน ๆ อาจไม่ใช่แค่ผื่นธรรมดา... ระวัง! อาจเป็นงูสวัด

ผื่นแดงแสบ ๆ คัน ๆ อาจไม่ใช่แค่ผื่นธรรมดา… ระวัง! อาจเป็นงูสวัด

หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ “งูสวัด” ว่าเป็นโรคทางผิวหนังอย่างหนึ่งที่มีตุ่มใสขึ้นตามตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรคงูสวัดไม่ใช่แค่โรคผิวหนังธรรมดา แต่เป็นโรคที่อันตรายอย่างหนึ่งที่อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ หากไม่มีการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม

งูสวัด (Herpes zoster) เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา (Varicella-zoster virus) ซึ่งเป็นเชื้อตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส และเชื้อจะแฝงตัวอยู่ในปมประสาทของร่างกาย

เมื่อร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำ เชื้อไวรัสนี้ก็จะถูกกระตุ้นขึ้นมาใหม่ เดินทางมาตามแนวเส้นประสาท และแสดงอาการออกมาเป็นผื่น และตุ่มน้ำตามแนวเส้นประสาท

อาการของโรคงูสวัดจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ

  • ระยะเริ่มต้น – จะเริ่มมีอาการปวดศีรษะ มีไข้ ปวดแสบ ปวดร้อน ร่วมกับมีอาการคันก่อนมีผื่นขึ้นประมาณ 3-4 วัน
  • ระยะผื่นขึ้น – เริ่มมีผื่นแดงขึ้นตามแนวเส้นประสาท จากนั้นจะกลายเป็นตุ่มน้ำใส ภายใน 3-5 วัน รวมถึงมีอาการปวดแสบ ปวดร้อน ปวดศีรษะ มีไข้ อ่อนเพลียมากขึ้น
  • ระยะฟื้นตัว – ตุ่มน้ำใสจะค่อยๆ แตกออก กลายเป็นแผล และตกสะเก็ด โดยสะเก็ดแผลจะค่อย ๆ หลุดลอกออกไปภายใน 2-4 สัปดาห์

หากไม่มีการดูแลอย่างถูกต้อง และเหมาะสม งูสวัดอาจลุกลาม และเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ เช่น

ภาวะปวดปลายประสาทเรื้อรัง – เป็นหนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยที่สุด มีอาการปวดแสบ ปวดร้อน คล้ายถูกไฟช็อตตามแนวที่เคยเป็นงูสวัด แม้ผื่นจะหายไปหมดแล้วก็ตาม อาการปวดนี้อาจอยู่ได้นานหลายเดือนหรือเป็นปี จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้

งูสวัดขึ้นตา – เกิดขึ้นเมื่อเชื้อไวรัสทำลายเส้นประสาทสมอง และลามเข้าสู่ดวงตา อาจทำให้เกิดการอักเสบและเสียหายที่กระจกตา ม่านตา จอประสาทตาหรือส่วนอื่น ๆ ของตา ซึ่งอาจส่งผลต่อการมองเห็นในระยะยาว หากไม่รีบรักษา

โรคหลอดเลือดในสมอง – อาจเกิดจากการที่เชื้อไวรัสไปทำให้เกิดการอักเสบของผนังหลอดเลือดในสมอง นำไปสู่การตีบตันหรืออุดตันของหลอดเลือด จนเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหลอดเลือดสมองแตกหรือขาดเลือดเฉียบพลันได้

อัมพฤกษ์ อัมพาตบางส่วน – เชื้อไวรัสอาจกระทบเส้นประสาทสำคัญ เช่น ใบหน้า แขน ขา ส่งผลให้เกิดอาการชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือเคลื่อนไหวผิดปกติ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว

ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อเป็นงูสวัด

  • ทานยาต้านไวรัสตามคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะภายใน 72 ชั่วโมงแรกหลังเกิดอาการ จะช่วยลดความรุนแรง และระยะเวลาของโรค
  • หลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาตุ่มผื่น เพราะอาจทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน หรือเกิดแผลเป็นได้
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และมีคุณภาพ เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน และซ่อมแซมตัวเอง
  • หลีกเลี่ยงความเครียด เนื่องจากความเครียดเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดงูสวัดได้

นอกจากนี้ หลายคนอาจเคยได้ยินความเชื่อเกี่ยวกับงูสวัดมาว่า หากงูสวัดพันรอบตัวแล้วจะเกิดอันตรายถึงชีวิต ความเชื่อนั้นเป็นความเชื่อที่ ผิด

เพราะความจริงแล้ว โรคงูสวัดจะทำให้เกิดผื่นขึ้นขึ้นตามแนวเส้นประสาท และเส้นประสาทของคนเราจะสิ้นสุดที่กึ่งกลางลำตัว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผื่นจะพันรอบตัวได้ครบวงนั่นเอง

เมื่อเข้าใจถึงที่มา และสาเหตุ โรคงูสวัดก็ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด การป้องกันที่ดีที่สุดคือดูแลภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอยู่เสมอ หากเริ่มมีอาการสงสัย อย่ารอให้สาย รีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทันที

อ้างอิง : โรงพยาบาลเมดพาร์ค, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, โรงพยาบาลศิครินทร์, โรงพยาบาลเปาโล

Scroll to Top