หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ “งูสวัด” ว่าเป็นโรคทางผิวหนังอย่างหนึ่งที่มีตุ่มใสขึ้นตามตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรคงูสวัดไม่ใช่แค่โรคผิวหนังธรรมดา แต่เป็นโรคที่อันตรายอย่างหนึ่งที่อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ หากไม่มีการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม
งูสวัด (Herpes zoster) เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา (Varicella-zoster virus) ซึ่งเป็นเชื้อตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส และเชื้อจะแฝงตัวอยู่ในปมประสาทของร่างกาย
เมื่อร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำ เชื้อไวรัสนี้ก็จะถูกกระตุ้นขึ้นมาใหม่ เดินทางมาตามแนวเส้นประสาท และแสดงอาการออกมาเป็นผื่น และตุ่มน้ำตามแนวเส้นประสาท
อาการของโรคงูสวัดจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ
- ระยะเริ่มต้น – จะเริ่มมีอาการปวดศีรษะ มีไข้ ปวดแสบ ปวดร้อน ร่วมกับมีอาการคันก่อนมีผื่นขึ้นประมาณ 3-4 วัน
- ระยะผื่นขึ้น – เริ่มมีผื่นแดงขึ้นตามแนวเส้นประสาท จากนั้นจะกลายเป็นตุ่มน้ำใส ภายใน 3-5 วัน รวมถึงมีอาการปวดแสบ ปวดร้อน ปวดศีรษะ มีไข้ อ่อนเพลียมากขึ้น
- ระยะฟื้นตัว – ตุ่มน้ำใสจะค่อยๆ แตกออก กลายเป็นแผล และตกสะเก็ด โดยสะเก็ดแผลจะค่อย ๆ หลุดลอกออกไปภายใน 2-4 สัปดาห์
หากไม่มีการดูแลอย่างถูกต้อง และเหมาะสม งูสวัดอาจลุกลาม และเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ เช่น
ภาวะปวดปลายประสาทเรื้อรัง – เป็นหนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยที่สุด มีอาการปวดแสบ ปวดร้อน คล้ายถูกไฟช็อตตามแนวที่เคยเป็นงูสวัด แม้ผื่นจะหายไปหมดแล้วก็ตาม อาการปวดนี้อาจอยู่ได้นานหลายเดือนหรือเป็นปี จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้
งูสวัดขึ้นตา – เกิดขึ้นเมื่อเชื้อไวรัสทำลายเส้นประสาทสมอง และลามเข้าสู่ดวงตา อาจทำให้เกิดการอักเสบและเสียหายที่กระจกตา ม่านตา จอประสาทตาหรือส่วนอื่น ๆ ของตา ซึ่งอาจส่งผลต่อการมองเห็นในระยะยาว หากไม่รีบรักษา
โรคหลอดเลือดในสมอง – อาจเกิดจากการที่เชื้อไวรัสไปทำให้เกิดการอักเสบของผนังหลอดเลือดในสมอง นำไปสู่การตีบตันหรืออุดตันของหลอดเลือด จนเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหลอดเลือดสมองแตกหรือขาดเลือดเฉียบพลันได้
อัมพฤกษ์ อัมพาตบางส่วน – เชื้อไวรัสอาจกระทบเส้นประสาทสำคัญ เช่น ใบหน้า แขน ขา ส่งผลให้เกิดอาการชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือเคลื่อนไหวผิดปกติ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว
ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อเป็นงูสวัด
- ทานยาต้านไวรัสตามคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะภายใน 72 ชั่วโมงแรกหลังเกิดอาการ จะช่วยลดความรุนแรง และระยะเวลาของโรค
- หลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาตุ่มผื่น เพราะอาจทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน หรือเกิดแผลเป็นได้
- พักผ่อนให้เพียงพอ และมีคุณภาพ เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน และซ่อมแซมตัวเอง
- หลีกเลี่ยงความเครียด เนื่องจากความเครียดเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดงูสวัดได้
นอกจากนี้ หลายคนอาจเคยได้ยินความเชื่อเกี่ยวกับงูสวัดมาว่า หากงูสวัดพันรอบตัวแล้วจะเกิดอันตรายถึงชีวิต ความเชื่อนั้นเป็นความเชื่อที่ ผิด
เพราะความจริงแล้ว โรคงูสวัดจะทำให้เกิดผื่นขึ้นขึ้นตามแนวเส้นประสาท และเส้นประสาทของคนเราจะสิ้นสุดที่กึ่งกลางลำตัว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผื่นจะพันรอบตัวได้ครบวงนั่นเอง
เมื่อเข้าใจถึงที่มา และสาเหตุ โรคงูสวัดก็ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด การป้องกันที่ดีที่สุดคือดูแลภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอยู่เสมอ หากเริ่มมีอาการสงสัย อย่ารอให้สาย รีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทันที
อ้างอิง : โรงพยาบาลเมดพาร์ค, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, โรงพยาบาลศิครินทร์, โรงพยาบาลเปาโล





